วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงปลาสองชนิดที่ดูเผินๆ อาจจะเหมือนกัน แต่ดูอีกทีก็ต่างกันเยอะแหล่ะ โดยเฉพาะเวลามีภาพมาลงเทียบกับแบบนี้
ทั้งสองชนิดในภาพนี้อยู่สกุลเดียวกันคือ Osteochilus เรียกรวมๆในไทยว่าสกุลสร้อยนกเขา ในไทยเจอ 8 ชนิด ทั่วโลกซึ่งก็อยู่ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราหมด fishbase บอกว่ามี 35 ชนิดด้วยกัน
ใน 35 ชนิดนี้ บางชนิดก็ตัวเล็กนิดเดียว อย่างสร้อยพรุ (O. spilurus) ตัวไม่ถึง 10 ซม. แต่มีสองชนิดที่ขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าเค้า ก็คือสองชนิดที่เอาภาพมาให้ดูในครั้งนี้ครับ
ตัวบนคือ พรมหัวเหม็น O. melanopleura สีเทาๆ เกล็ดเล็กกว่า มีรายงานว่าตัวโตถึง 60 ซม.
ตัวล่างคือ สร้อยนกเขาเกล็ดใหญ่ O. schlegelii สีเงินๆ เกล็ดใหญ่กว่า มีรายงานว่าตัวโตได้ประมาณ 40 ซม. ที่ตลกคือ ชื่อสามัญของเจ้านี้ ที่ fishbase บอกว่าชื่อ Giant Sharkminnow ไม่รู้ใครตั้งไว้เมื่อไหร่ แต่ดูน่าเกรงขามดี ปลาสร้อยฉลามยักษ์...
ทั้งสองชนิดเป็นปลาที่มีการกระจายกว้างครับ มีรายงานพบทั้งในส่วนของแผ่นดินใหญ่ ทั้ง กัมพูชา ไทย มาเลเซีย รวมไปถึงเกาะบอร์เนียวและสุมาตรา ก็มีรายงานอยู่ทั้งสองชนิด
สิ่งที่น่าสนใจคือสถานะของทั้งสองชนิดนี้ในประเทศไทย ในขณะที่ พรมหัวเหม็นยังเป็นปลาที่พบเห็นได้ทั่วไปตามแม่น้ำลำคลอง ก็เห็นคนตกได้กันอยู่เรื่อยๆ ชื่อเสีย(ง) ของมันคือเป็นปลาที่เนื้อมีกลิ่นสาบเหม็น ด้วยความที่เป็นปลาที่กินตะไคร่น้ำและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่มีกลิ่นคาวๆเป็นอาหาร ส่วนสร้อยนกเขาเกล็ดใหญ่ มีรายงานพบน้อยมากในประเทศไทย
คือน้อยมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ในหนังสือ The Freshwater Fishes of Siam or Thailand ของ Hugh M. Smith ที่เขียนไว้เมื่อ 79 ปีที่แล้ว ในยุคที่แม่น้ำลำคลองบ้านเรายังอุดมสมบูรณ์ ยังตกปลาฝักพร้ากันอยู่แถวๆวัดอรุณ ยังมีปลาเทพายักษ์กินหมาที่ปากน้ำโพ ก็ยังเขียนว่าเป็นปลาที่พบไม่บ่อยนัก และในไทยมีรายงานยืนยันแค่สองลุ่มน้ำคือ ตัวอย่างชุดหนึ่งที่ได้มาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตจังหวัดอ่างทอง ในปีพ.ศ.2466 หรือเมื่อ 101 ปีที่แล้ว และอีกตัวเดียวได้มาจากแม่น้ำแม่กลอง ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ปี 2468 หรือ 99 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2466 ช่วงนั้นคืออยู่ในรัชสมัยของ ร.6) จากนั้นมา ผมไม่แน่ใจว่าเรามีการจับปลาชนิดนี้ได้อีกไหม?
ตอนที่ผมมาเริ่มศึกษาปลาน้ำจืดในประเทศไทยเมื่อสัก 20 กว่าปีก่อน เจ้าสร้อยนกเขาเกล็ดใหญ่ก็เงียบสนิทไปแล้ว ไม่มีรูปตัวเป็นๆให้ดู ไม่มีรายงานจากที่ไหนๆในประเทศไทยทั้งสิ้น ในละแวกบ้านเราที่ยังพอพบได้อยู่เนืองๆก็คือในประเทศเขมร โดยเฉพาะในพื้นที่รอบๆทะเลสาบเขมร ลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่มีปลาใกล้เคียงกับปลาของฝั่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาก ผมเคยตามไปดูที่ทะเลสาบเขมรสองครั้ง ไปที่ท่าน้ำที่ปลาขึ้นเยอะๆ ไล่คุ้ยเอาตามเข่งที่เค้าใส่ปลากันมาเป็นกองๆ เจอปลาหายากอย่างปลาตะโกกหน้าสั้นแต่ก็หาเจ้านี่ไม่เจอ
ภาพเป็นๆภาพแรกที่เคยเห็นของ O. schelgelii น่าจะเป็นภาพจาก ดร.ชัยวุฒิ กรุดพันธ์ ซึ่งถ่ายมาจากตู้ปลาที่อาจารย์บอกว่าอยู่หลังโต๊ะทำงานของคนใหญ่คนโตในกรมประมงของทางเขมรเค้า ตอนเห็นนี่คือตื่นเต้นมาก แบบอยากจะไปขอเค้าพบเสียบัดเดียวนั้น คือมันไปอยู่ตรงนั้นได้ ก็แสดงว่าทางนั้นก็เห็นค่าว่าเป็นของหายากเหมือนกัน
ต่อมาในช่วงรวบรวมข้อมูลทำหนังสือปลาน้จืดไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ในยุคที่ fb เฟื่องฟู ปรากฏกลุ่มปลาแม่น้ำขึ้นมากมายทั้งในประเทศเราและประเทศเพื่อนบ้าน ผมถึงมาพบว่า นอกจากลุ่มน้ำโขงตอนล่างแล้ว แม่น้ำใกล้ๆไทยที่ยังเหลือปลาชนิดนี้คือ แม่น้ำปาหัง ในประเทศมาเลเซีย แม่น้ำสายนี้ ต้องมีความหลังกับลุ่มแม่น้ำแม่กลองของบ้านเราแน่นอน เพราะมีปลาที่เหมือนกันหลายชนิด แม้นว่าจะห่างไกลกันเหลือเกิน ทั้งเม็ดขนุน ยี่สกไทย และ สร้อยเกล็ดใหญ่
ที่แม่น้ำปาหัง มันก็ไม่ใช่ปลาหาง่าย ผมรออยู่เกือบปีก็ไม่มีใครหาได้ ในหนังสือปลาน้ำจืดไทยฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง จึงได้ขอใช้ภาพจากนักมีนวิทยาชาวมาเลเซีย พอขายเล่มหนึ่งหมดนั่นแหล่ะ ถึงได้ข่าวดีจากทางมาเลเซียว่าได้ปลาชนิดนี้มาแล้ว ในเล่มสองถึงได้ใช้ภาพของตัวเองสักที
สร้อยนกเขาเกล็ดใหญ่ จัดเป็นหนึ่งในปลาน้ำจืดไทยในตำนานอีกชนิดที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว เป็นปลาที่หายไปแบบไม่ร่ำลา ไม่มีข้อมูลให้เดาใดๆว่าทำไมเหมือนว่าจะมีน้อยตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว สาเหตุอะไร ทำไม ยังไง เมื่อไหร่ ถึงสูญพันธุ์ไป เพราะทุ่งน้ำท่วมที่หายไปของทั้งสองลุ่มน้ำในไทย? หรือคุณภาพน้ำ หรืออะไร?
เป็นปลาที่เต็มไปด้วยคำถาม ที่คงไม่มีวันจะได้คำตอบ
***************************************************
ทั้งนี้ ถ้าท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลาชนิดนี้ แชร์กันหน่อยนะครับ
อีกคำถามที่ผมคาใจมานานคือ พรมหัวเหม็น ตกลงมันเหม็นแค่ไหน เหม็นยังไง แล้วมันเหม็นขนาดกินไม่ได้เลยจริงไหมครับ? มีคนกินมันไหม? ปรุงยังไง ทำอะไรอร่อย ทำยังไงแล้วเหม็น? คือเคยเลี้ยง เคยเห็นคนตกได้ แต่ไม่เคยเอามันมาผ่า มากินดูสักทีครับ
*****************************************************